ฟีเจอร์ที่โดดเด่น
หากสำรวจตัวอุปกรณ์จากหลังตัวมิกเซอร์ ZMX100FX ส่วนแรกประกอบด้วยสวิตซ์ Phantom Power สำหรับจ่ายไฟ 48V ให้กับไมโครโฟนชนิดคอนเด็นเซอร์ ถัดมาเป็นสวิตซ์เปิด/ปิดตัวเครื่อง และช่องต่อกับอะแดปเตอร์ เมื่อก่อนมันจะเป็นช่องต่อกับปลั๊กไฟแบบ AC แต่ในรุ่นล่าสุดนี้จะใช้ไฟ DC +18V รับกระแสได้ต่ำสุด 0.8 แอมป์ขึ้นไป จะใช้กับหม้อแปลง 1-2 แอมป์ก็ได้
อย่างไรก็ดี สำหรับ ZMX100FX นั้นมีอะแดปเตอร์แถมให้ฟรี ถัดมาเป็นช่อง USB รองรับ เวอร์ชัน 1.1 หรือสูงกว่าได้ พอร์ต USB มีไว้เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ เพื่อใช้เพลย์แบ็กหรือบันทึกเสียงผ่านซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างรุ่น AMX100FX กับ ZMX100FX แต่รุ่นเก่าไม่มีพอร์ต USB จึงไม่สามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรือบันทึกเสียงได้
จุดเด่นของรุ่น ZMX100FX คือมีออดิโออินเทอร์เฟซในตัว ว่าไปแล้วฟีเจอร์นี้ดึงมาจากรุ่น Live ซึ่งเป็นรุ่นใหญ่กว่า หากพิจารณาสายการผลิต ZMX100FX ถือว่าเป็นรุ่นเล็กสุดที่มีออดิโออินเทอร์เฟซในตัว หากเป็นรุ่นเล็กกว่านี้จะไม่มีออดิโออินเทอร์เฟซ
- เป็นมิกเซอร์ขนาด 4 แชนเนล โดยแชนเนล 3/4 เป็น stereo
- เป็นออดิโออินเทอร์เฟซรองรับการบันทึกเสียงและเพลย์แบ็กด้วยค่า Bit-Depth 16-bit Sampling rate 44.1/48 kHz ผ่านพอร์ต USB
- มีช่อง XLR inputs และ gain trim จำนวน 2 ช่อง พร้อมสวิตซ์ high-pass filter และ 48V phantom power
- รองรับ iOS สามารถใช้กับ iPad ได้แต่ต้องต่อกับหัวแปลง USB Camera Adapter (ต้องซื้อแยก)
- มีลูกบิด EQ เพื่อปรับโทนเสียงได้อย่างแม่นยำ
- มีเอฟเฟ็กต์จำนวน 15 โปรแกรม จาก Alesis
- มีมิเตอร์ LED วัดระดับสัญญาณแบบรีล-ไทม์
- ต่อกับหูฟังได้ พร้อมกับลูกบิดคุมความดังเบาแยกอิสระ
- USB เป็นระบบ plug-and-play รองรับทั้ง PC และ Mac
สำรวจรูปลักษณ์ภายนอก
หากพิจารณาภายนอกของมิกเซอร์ ZMX100FX พบว่ามีจำนวน 4 แชนเนล โดยแบ่งเป็นแชนเนลของไมโครโฟน 2 แชนเนล นั่นคือแชนเนล 1 และ 2 และยังมีสเตริโอแชนเนลอีก 1 ช่อง นั่นคือแชนเนล 3/4 ส่วนแชนเนล 1 และ 2 เป็นโมโน การใช้งานแชนเนล 3/4 อาจมีข้อจำกัดในเรื่องการ Pan สัญญาณเสียง เพราะจะไม่สามารถ Pan ซ้าย-ขวาได้ เพราะแชนเนล 3 จะเป็นสัญญาณฝั่งซ้าย ส่วนแชนเนล 4 จะเป็นฝั่งขวา
เราลองมาไล่เรียงส่วนประกอบแต่ละแชนเนลว่ามีอะไรบ้าง เริ่มจากแชนเนลที่ 1 ช่องสำหรับเชื่อมต่อกับไมโครโฟนจะมีค่าคุณสมบัติอิมพีแดนซ์ต่ำคือ 600Ohms (Low Impedance) ใช้เป็นขั้ว XLR ตัวเมีย ถัดลงมาเป็นขั้ว LINE ซึ่งมีค่าคุณสมบัติอิมพีแดนซ์สูงคือ 10kOhms (High Impedance) ใช้ต่อกับสัญญาณไลน์ ที่เป็นอุปกรณ์เครื่องดนตรีต่างๆ เช่น กีตาร์ไฟฟ้า กีตาร์เบส และมีสวิตซ์ Low cut ให้ซึ่งคัตที่ย่าน 80Hz และมีลูกบิดปรับ Gain Input สามารถปรับเพิ่ม Gain ได้สูงถึง +20dB
ถัดลงมาเป็นส่วนที่ใช้ปรับแต่งเสียง EQ ตัวแรกจะเป็นลูกบิดสำหรับปรับ EQ ย่าน High ใช้ปรับโทนเสียงความถี่สูง อยู่ในช่วง 80Hz-12kHz ในรูปแบบ High pass filter และมีลูกบิดปรับย่านความถี่ต่ำ ถัดมาเป็นลูกบิดปรับเอฟเฟ็กต์ Send-Return เพราะมิกเซอร์รุ่นนี้มีเอฟเฟ็กต์ในตัว ถัดไปเป็นลูกบิด Pan สามารถปรับ Pan ซ้าย/ขวาได้ ซึ่งไม่ใช่ลูกบิดบาลานซ์ แต่หากเป็นแชนเนล 3/4 ลูกบิดจะเป็นบาลานซ์ ด้านข้างแต่ละแชนเนลจะมีหลอด LED สีแดง หน้าที่คือใช้แสดงสถานะของสัญญาณที่เข้ามา
ปกติแล้วสัญญาณที่ต่อเข้ามิกเซอร์ไม่ควรจะมีค่า Peak เพราะสัญญาณนั้นจะเกิดการผิดเพี้ยน หากมันขึ้น Peak ผู้ใช้จะต้องลด Gain ลง ถัดไปเป็นโวลุ่ม Level สามารถเพิ่มระดับความดังได้ถึง +10dB ทำงานเหมือนสไลด์เฟดเดอร์ หากสังเกตจะพบว่าแชนเนลที่ 1 และ 2 องค์ประกอบส่วนใหญ่เหมือนกัน แต่ในแชนเนลที่ 2 นั้นจะมีสวิตซ์ Guitar เพื่อให้ผู้ใช้ได้เลือกอิมพีแดนซ์ให้แมทซ์กับสัญญาณจากกีตาร์ไฟฟ้า
หากต้องการนำแชนเนล 1 ไปใช้กับกีตาร์ ผู้ใช้จะต้องต่อไมโครโฟนไปจ่อหน้าตู้แอมป์ แต่หากจะต่อสัญญาณของกีตาร์ตรงเข้ามิกเซอร์ ควรจะใช้แชนเนลที่ 2 ตัวอย่างการเชื่อมต่อใช้งาน แชนเนลที่ 1 ต่อกับไมโครโฟนสำหรับเสียงร้อง แชนเนลที่ 2 ต่อกับกีตาร์ ส่วนแชนเนล 3/4 ต่อกับคีย์บอร์ด
ถัดไปในส่วนแชนเนล 3/4 ขั้วอินพุตจะเป็นแบบช่อง Phone แต่ส่วนอื่นจะคล้ายๆ กับแชนเนล 1 และ 2 สิ่งที่ต่างกันคือลูกบิดบาลานซ์ คือมันจะเป็นบาลานซ์ซ้าย (Ch.3) /ขวา (Ch.4) ในขณะแชนเนล 1 และ 2 จะมีคุณสมบัติเป็น Pan ซึ่งแชนเนล 3/4 ออกแบบมาเพื่อใช้กับเครื่องเล่น CD เครื่องดนตรีพวกคีย์บอร์ด ผู้ใช้อาจจะบาลานซ์คีย์บอร์ด
ในส่วนภาคเอฟเฟ็กต์ มี 15 โปรแกรมพรีเซต หากนับโปรแกรมช่อง Bypass เข้าไปจะเป็น 16 โปรแกรมพอดี ด้านบนสุดเป็นเอฟเฟ็กต์ Chorus และ Room ถัดมาเป็น Bypass ถัดมาเป็นเอฟเฟ็กต์ Rotary อีกอันเป็น Hall ซึ่งมีให้เลือก 2 แบบคือแบบที่ 1 และ 2 ถัดมาเป็นเอฟเฟ็กต์ Delay มี Flange สำหรับ Room จะมีให้เลือก 3 แบบ ซึ่งเอฟเฟ็กต์ Room แต่ละแบบจะมีค่าความก้องต่างกัน ถัดมาเป็นเอฟเฟ็กต์ Plate ในการใช้งานเอฟเฟ็กต์นั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งาน ว่าจะใช้กับเสียงแนวเพลง แนวดนตรีอะไร ถัดลงมาจะเป็นลูกบิดปรับระดับเอฟเฟ็กต์ Master Effect